32 นัด 71 แต้ม…เมื่อต้นฤดูกาล ถ้าใครมาบอกว่าลิเวอร์พูลจะทำได้ 71 แต้มหลังผ่านไป 32 นัดในพรีเมียร์ลีก และได้นั่งหนาวสั่นอยู่บนหัวตารางอย่างวันนี้ เราคงหัวเราะและหาว่าเขาบ้าแน่ๆ แต่ถึงวันนี้ นาทีนี้ มันคือความจริง ลิเวอร์พูลกำลังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ และเราก็กำลังรู้สึกอย่างที่กัปตันให้สัมภาษณ์ว่า
“ผมพยายามที่จะไม่กล้าคิดหวัง แต่มันเป็นความจริงที่เราได้ลุ้นแชมป์”
…ด้วยความสัตย์จริง เรามักมีความรู้สึกขึ้นๆลงๆมาโดยตลอด ในยามที่ทีมสามารถเก็บแต้มได้เป็นกอบเป็นกำ เราจะรู้สึกมีความหวัง แต่เป็นความหวังที่เจือไปด้วยความกลัว และวิตกกังวลเสมอ เราไม่เคยมั่นอกมั่นใจว่า ทีมรักจะโชว์ฟอร์มได้ดีเช่นเดิมในเกมถัดไป ถัดไปและถัดไป ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อมั่นในทีมนะคะ เพียงแต่เราพยายามที่จะไม่หวังมากกว่า พยายามที่จะคิดว่าเราลุ้นแค่ที่ 4 ก่อน เราขอแค่กลับไปเล่น UCL อีกครั้งก่อน และพัฒนาการที่ดีกว่านี้ในแง่ของขุมกำลังก็จะตามมา เพื่อให้เราได้สร้างทีมมาลุ้นแชมป์ลีกอีกครั้ง และเราคิดเสมอว่ามันต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี หลังจากได้ย่างเท้ากลับเข้าสู่วงโคจรของเจ้าหูโตแล้ว แต่นี่มันคืออะไรกัน…ลิเวอร์พูลกำลังทำสิ่งที่เหลือเชื่อ เราเคยจินตนาการว่า เมื่อถึงเดือนเมษายน ปี 2014 เราก็คงกำลังลุ้นทำอันดับ 4 หรือพยายามรักษาอันดับ 4 ไว้ …ไม่ใช่การลุ้นแชมป์แบบนี้เลยจริงๆ
ทุกอย่างในตอนนี้มันเลยเหมือนกลายเป็น “โบนัสพิเศษ” ให้เราได้ลุ้น และแน่นอนว่า เราปรารถนาให้ “โบนัส” นั้นได้มาอยู่ในมือของเรา ได้มาอยู่ในมือของกัปตันที่รักของเราเป็นที่สุด แต่เราก็ยังคง “เผื่อใจ” ไว้เสมอ ว่ามันอาจจะสำเร็จหรือไม่ก็ได้ แต่…
หากเป็นไปได้ เราก็อยากจะให้มันสำเร็จตามที่เราปรารถนา ไม่ใช่เพื่อความสุขของเราเอง แต่ทั้งหมดนั้น เราอยากให้มันเป็นไปเพื่อ “กัปตันของเรา”
หากเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2005 สตีเวน เจอร์ราร์ด ไม่เปลี่ยนใจ …หากเขาเลือกที่จะเดินก้าวเท้าออกจากสโมสรแห่งนี้ไปสวมเสื้อสีน้ำเงินของทีมอื่น เขาคงได้แชมป์พรีเมียร์ลีกไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หลังผ่านวินาทีแห่งความสับสนนั้นไป เขาตัดสินใจที่จะหันหลังให้เกียรติยศที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะความรัก ความผูกพันที่มีต่อสโมสรแห่งนี้ เขาเลือกที่จะอยู่ร่วมฝันกับเดอะค็อปต่อไป และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เขาก็ไม่เคยคิดย้ายออกจากสโมสรของเราไปไหนอีกเลย แม้จะมีทีมชั้นนำมากมายพยายามที่จะดึงดูดใจเขาด้วยเงินและเกียรติยศใดๆก็ตาม
และในเดือนพฤษภาคมนี้ กัปตันกำลังจะอายุครบ 34 ปีแล้ว เวลาในฐานะนักเตะ มันกำลังจะหมดลงทุกทีๆ ตอนนี้เรากำลังนึกเสียใจแทนเจมี คาร์ราเกอร์ ว่าเขาไม่น่ารีบแขวนสตั๊ดเลยจริงๆ เพราะเขาก็เป็นนักเตะลิเวอร์พูลอีกคนหนึ่งที่มีค่าคู่ควรที่จะได้รับเกียรติยศในการลุ้นคว้าแชมป์ร่วมกับทีม แต่โอกาสของคาร์รามันจบไปแล้ว และเราไม่อยากให้กัปตันต้องหมดโอกาสไปอีกคน
ลิเวอร์พูลอาจได้ลุ้นแชมป์ในฤดูกาล 2008-09 กระนั้น เราก็ไม่เคยได้เปรียบทีมคู่แข่งอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่างจริงๆจังๆ เพราะเราต้องไล่ตามหลังพวกเขาตลอดช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล แต่ในวันนี้ ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลขึ้นนำจ่าฝูงของตารางคะแนน และไม่ต้องพึ่งพาหรือสาปแช่งทีมใดอีกแล้ว หากว่าเราสามารถเก็บชัยชนะอีก 6 นัดที่เหลืออยู่ได้สำเร็จ เราก็จะไปถึงฝั่งฝันที่รอคอยกันมา 24 ปี
…ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ในกำมือของเราอย่างแท้จริง…
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายกับการเก็บชัยชนะ 6 นัดรวด เมื่อมีเกมใหญ่รออยู่ กับทั้งเชลซีและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แอนฟิลด์ ซึ่งหลายคนมองว่ามันคือเกมตัดสินแชมป์ รวมถึงเกมเยือนคริสตัล พาเลซ ในนัดรองสุดท้าย ทีมที่กำลังเจียนอยู่เจียนไปในอันดับที่ 16 ของตารางคะแนน และเพิ่งเอาชนะเชลซีได้ ไม่มีคำว่าหมูแน่ และไม่ต้องอื่นไกล เกมเยือนเวสต์แฮม ยูไนเต็ดในนัดหน้า ที่เชื่อเถอะว่า “ไม่ง่าย”
…เราอ่านสัมภาษณ์ร็อดเจอร์สก่อนเกมเกือบทุกนัด และไม่ว่าจะเจอทีมใด เขามักจะพูดเสมอว่า “มันจะเป็นเกมที่ยาก” …เปล่าหรอก มันไม่ได้สร้างความสะพรึงกลัวให้เรามากไปกว่าที่รู้สึกอยู่แล้วเลย ที่จริงออกจะดีด้วยซ้ำ เพราะนั่นหมายความว่า เขาไม่เคยประมาท ไม่ว่าจะแข่งกับทีมระดับใด แต่มันก็เป็นคำพูดที่ฝังหัวเราไปแล้วจริงๆเหมือนกันว่า ไม่มีเกมไหนที่ง่ายสำหรับเรา (แม้นัดล่าสุดกับสเปอร์สจะรู้สึกชิวมากก็ตาม 555+)
แล้วตอนนี้ ก็ไม่ใช่แค่เพียงร็อดเจอร์สกับทีมงาน และนักเตะเท่านั้น ที่กำลังพยายามทำทุกอย่างเพื่อเก็บชัยชนะในทุกเกม แต่บรรดาแฟนบอลต่างก็ยืนหยัดอยู่เบื้องหลังเสมือนหนึ่งเป็นนักเตะคนที่ 12 ของทีมอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะตั้งแต่กลับมาเตะในแอนฟิลด์ ในเกมกับซันเดอร์แลนด์ และตามด้วยสเปอร์ส เราได้เห็นบรรยากาศการปลุกเร้าของบรรดาเดอะค็อปที่ส่งเสียงตะโกนก้อง ร้องเพลง กดดันคู่แข่ง กดดันกรรมการ ราวกับลิเวอร์พูลกำลังลงเตะในฟุตบอลถ้วย ที่ผู้ชนะเท่านั้นจะได้ผ่านเข้ารอบ เราได้ยินเสียงเพลง Fields of Anfield Road ที่ดังกระหึ่มเหมือนกับบรรยากาศของค่ำคืนบอลยุโรปในแอนฟิลด์ที่เคยเป็นมา เราได้ยินแฟนๆร้องเพลง We’ll gonna win the league ดังขึ้นเรื่อยๆทุกนัด ทุกนัดและทุกนัด มันเป็นบรรยากาศที่น่าตื่นเต้นเป็นที่สุด
กับฟอร์มและแผนการเล่นของทีม เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ได้ทำให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมหนึ่งที่ใช้แผนการเล่นหลากหลายรูปแบบมากที่สุดทีมหนึ่ง เพราะตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา เราเห็นทั้งระบบ 4-3-3, 4-2-3-1, 3-5-2 และ 4-4-2 แบบ Diamond แต่ไม่ว่าเราจะยืนแบบไหน สไตล์การเล่นก็ยังคงเป็นไปในรูปแบบเดียวกันทุกเกม นักเตะทุกคนเข้าใจในระบบและวิธีการที่พวกเขาต้องเล่น รู้ว่าต้องจ่ายบอลแบบไหน วิ่งไปที่ใด ยืนคุมพื้นที่และไล่บอลเมื่อใด ร็อดเจอร์สได้เปลี่ยนแปลงให้มิดฟิลด์ตัวรุกที่ดีที่สุดคนหนึ่งในประเทศ กลายเป็นโฮลดิ้ง มิดฟิลด์ กึ่งริเบอโร่ ได้อย่างน่าทึ่ง …ใครจะไปคิดว่า วันหนึ่ง สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่เคยแต่บุกตะลุย วิ่งทะลุทะลวง ทำลายแนวรับคู่ต่อสู้ จะถอยลงมาเป็นตัวคุมจังหวะของเกม และกลายเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวที่สาม ในยามจำเป็นอย่างวันนี้
ลิเวอร์พูลอาจจะครองบอลและต่อบอลกันน้อยลงกว่าฤดูกาลที่แล้ว แต่มีประสิทธิภาพในเกมรุกมากกว่า รวมทั้งสร้างรูปแบบการเล่นเกมสวนกลับที่น่ากลัวและหวังผลได้ขึ้นมา แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งมันมาจากการมีนักเตะที่มีทักษะและความเร็วอย่างซัวเรซและสเตอร์ริดจ์ แต่ความฟิตและความขยันของเฮนเดอร์สัน ความเร็วและร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างผิดหูผิดตาของราฮีม สเตอร์ลิง ประสิทธิภาพในการจ่ายบอลของคูตินโญ่ รวมถึงการเติมเกมจากแบ็คทั้งสองข้างอย่าง เกล็น จอห์นสัน และจอน ฟลานาแกน ต่างก็ช่วยส่งเสริมให้ทั้งซัวเรซ และสเตอร์ริดจ์ ได้มีโอกาส และพื้นที่มากขึ้นในการสร้างสรรค์ประตู นอกจากนี้ เรายังเป็นทีมที่ได้ประตูจากลูกตั้งเตะมากที่สุดในลีก การเปิดลูกนิ่งของกัปตันและฟรีคิกของซัวเรซอันตรายเสมอ สิ่งเดียวที่อาจจะน่าวิตกกังวลอยู่บ้างสำหรับทีมชุดนี้ คือ แนวรับ …ในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล แนวรับของลิเวอร์พูลผลัดเจ็บทั้งแบ็คทั้งเซ็นเตอร์ ทำให้เราต้องเปลี่ยนรูปแบบการเล่นมาใช้เซ็นเตอร์ 3 ตัวอยู่หลายนัด และกับตำแหน่งแบ็คซ้ายที่โฆเซ่ เอนริเก้ เจ็บจนต้องปิดเทอมยาว แต่อาลี ซิสโซโก้ ที่ยืมตัวมาจากบาเลนเซีย ก็ยังทำหน้าที่แทนได้ไม่ดีพอ จนร็อดเจอร์สตัดสินใจใช้งาน จอน ฟลานาแกน ที่ตำแหน่งหลักคือแบ็คขวา แต่เขากลับเล่นได้ดีมากกว่าในตำแหน่งแบ็คซ้าย ซึ่งสร้างความประทับใจให้แฟนบอลไม่น้อย กระนั้น ลิเวอร์พูลก็เสียประตูง่ายๆหลายครั้ง โดยเฉพาะจากลูกโด่งที่เป็นปัญหามานาน
แน่นอนว่าเราอยากให้แนวรับของทีมมีความเหนียวแน่นมากกว่านี้ แต่ตราบใดที่แนวรุกทำประตูได้มากกว่า มันก็คือสามแต้มวันยังค่ำ ถ้าเป็นแบบนั้น เราก็ไม่มีปัญหากับมันหรอก
ในวันที่ลูคัสได้รับบาดเจ็บเอ็นหัวเข่าข้างซ้ายฉีกขาดจนต้องเข้ารับการผ่าตัด และต้องปิดเทอมยาวในฤดูกาล 2011-12 จากเกมกับเชลซีในลีกคัพ เรารู้สึกขึ้นมาทันทีว่ามันควรเป็นภาระหน้าที่ของนักเตะทุกคนที่เหลือในการก้าวต่อไปและคว้าแชมป์ลีกคัพในปีนั้นให้ได้ …เพื่อลูคัส และพวกเขาทำสำเร็จ แม้ลูคัสจะไม่ได้สวมชุดแข่งขึ้นไปรับเหรียญรางวัล แต่เขา คือ หนึ่งในคนที่สมควรได้รับการยกย่องกับถ้วยรางวัลนี้อย่างที่สุด เพราะเขาต้องสังเวยช่วงเวลาอันมีค่าในอาชีพเพื่อให้ทีมได้ก้าวไปคว้าแชมป์บอลถ้วยในรอบ 6 ปีของลิเวอร์พูล
กับวันนี้ เราก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับกัปตันทีมของเรา สตีเวน เจอร์ราร์ด ได้ทุ่มเททำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่เขาจะสามารถทำได้มาตลอด 16 ปี เขามีโอกาสจะทำฝันให้เป็นจริงได้อย่างง่ายดายร่วมกับทีมอื่น แต่เขาปฏิเสธ เพราะสำหรับเขาแล้ว ความสุขจากการคว้าแชมป์ มันต้องเกิดขึ้นร่วมกับลิเวอร์พูลเท่านั้น และนี่คือแชมป์เดียวที่เขายังไม่เคยได้สัมผัส แม้พยายามเพื่อมันมาหลายปีก็ตาม …มันควรถึงเวลาของกัปตันเสียที
อีก 6 นัด ในเวลา 540 นาที …ทุกนาทีบนสังเวียนแห่งการต่อสู้ของลิเวอร์พูล ขอให้มันเป็นไป…เพื่อกัปตันของเรา
อยากส่งกระแสจิตไปบอกร็อดเจอร์ส บอกทีงสต๊าฟฟ์ บอกนักเตะทุกคนว่า ในทุกชอตการวิ่ง ทุกการผ่านบอล ทุกการเข้าสกัด ทุกการป้องกัน และทุกจังหวะการยิง …จงทำมันอย่างมีความหมาย เพื่อให้ฝันของกัปตันและฝันของคนทุกคนใบโลกใบนี้ที่รักลิเวอร์พูลเป็นความจริง
…ก่อนเกมที่ทีมชาติอังกฤษจะพ่ายแพ้ต่อทีมชาติเยอรมัน ตกรอบฟุตบอลโลก 2010 อย่างยับเยิน 4-1 เจอร์ราร์ดในฐานะกัปตันทีมได้ออกมาพูดว่า
“ทำให้เต็มที่ แล้วจะไม่มีอะไรต้องเสียใจอีก”
…มันชัดเจนว่าทีมชาติอังกฤษเล่นได้ไม่ดีเลยในเกมนั้น แต่กัปตันของเรา คือ นักเตะที่เล่นได้ดีที่สุดของทีมชาติอังกฤษในวันนั้น และเขาไม่มีอะไรต้องเสียใจกับตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
กับลิเวอร์พูลในวันนี้ กัปตันก็คงจะบอกน้องๆในทีมทุกคนแบบนั้นเหมือนกันว่า ให้ทำให้เต็มที่กับอีก 6 นัดที่เหลือ ถ้าเราได้ทำทุกอย่างจนสุดความสามารถแล้ว ก็จะไม่มีอะไรที่เราต้องเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว
และในฐานะกองเชียร์ลิเวอร์พูล ฤดูกาลนี้ ก็จะไม่มีคำว่า “เสียใจ” เกิดขึ้นกับเราเช่นกัน
We’ll gonna win the league.
…ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ จะไม่มีคำว่าเสียใจเกิดขึ้นในหัวใจของเราอย่างแน่นอน…
YNWA
โดย : howk_ky
ผมก็จะรอจนถึงวันนั้น วันที่ฝันของเราเป็นจริง#YNWA
ไม่ว่าผลเป็นยังไง…เราก้อต้องเผชิญและเดินไปด้วยกัน.
รู้ได้ไงว่า 540 นาที ทดเวลาอีก
อีก หกนัดชนะ รวดไม่ต้องรอปฎิหาร ทุกอย่างเราจะกำหนดได้
เราจะรอวันนั้นด้วยกันYNWA
คุนจะไม่เดียวดาย
20ปี่แห่งการลอคอยเหลืออีก6นัดที่สำคัญ ต้องวิ่งให้เหมือนเครื่องจักรสีแดงอีก540นาทีเพื่อแชมป์ทึ่ยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูล
ตอนไก่แล้วชนะเห็นๆๆๆๆๆ… 999สาวก
คับ..ขอแชร์เลย..เข้าใจตรงกันนะ
ใช่ ถึงยังไงกูก็ยังรักเสมอ สู้ตาย ! #ynwa