แม้ว่าลิเวอร์พูลไม่ได้ลงสนามสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเนื่องจากโปรแกรมกับเชลซีถูกเลื่อนออกไปจากการที่ทีมจากลอนดอนติดเกมเอฟเอ คัพ ที่บุกไปพ่ายเอฟเวอร์ตัน แต่ผลเสมอที่แมนฯ ซิตี้ได้ในเกมเยือนนอริช ซิตี้ 0-0 ทำให้การลุ้นพื้นที่ชปล.ยังมีความเป็นไปได้สำหรับหงส์แดง และทีมอื่นๆ ลองไปดูเล่นๆ ตั้งแต่หัวตารางกันเลย
อันดับ 1 ตอนนี้เลสเตอร์ ซิตี้ แข่ง 29 เกม 60 แต้ม(ผลต่าง +21)
ถึงตรงนี้หลายคนที่เคยไม่เชื่อว่าเลสเตอร์ ซิตี้จะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก แม้พวกเขานำจ่าฝูงเป็นช่วงเวลาส่วนใหญ่ของซีซั่น แต่ตอนนี้อาจจะเริ่มคิดว่ามันเป็นไปได้ กับโปรแกรมที่เหลือน้อยลงเรื่อยๆ ความเป็นไปได้ก็ยิ่งมากขึ้นจนพวกเขาเริ่มถูกยกเป็นเต็ง 1 อย่างเป็นทางการไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
เลสเตอร์มีข้อได้เปรียบสำคัญคือการที่พวกเขาไม่มีถ้วยอื่นต้องลงเล่นอีกแล้วนับว่าเป็นข้อได้เปรียบที่ใหญ่พอสมควรเพราะนั่นทำให้พวกเขามีสมาธิเต็มที่ และยังลดความเสี่ยงกับปัญหาการบาดเจ็บ
ดูจากโปรแกรมได้พวกเขาไม่มีเกมกลางสัปดาห์ให้ต้องเล่นเลย!
เกมในบ้านกับนิวคาสเซิลค่ำคืนนี้ซึ่งจัดว่าสำคัญมาก พวกเขามี 6 เกมที่จัดว่าเบาในช่วงข้างหน้า แต่ 3 เกมสุดท้ายถือว่าหนักมาก อย่างไรก็ตามถ้า 6 เกมข้างหน้าพวกเขาพลาดไม่มากนัก และกุมความได้เปรียบไว้โอกาสถึงเส้นชัยมีไม่น้อยเหมือนกัน แต่อย่างน้อยโอกาสหลุดพื้นที่แชมเปียนส์ลีกนับว่ายากมากๆ กับ 11 แต้มที่ห่างจากอันดับ 5
จุดสำคัญของเลสเตอร์คือความสม่ำเสมอ แน่นอนว่าช่วงนี้ความกดดันในการลุ้นแชมป์จะเพิ่มขึ้น แต่หากทีมใดคิดจะแซงเลสเตอร์พวกเขาต้องสม่ำเสมอมากกว่า นั่นดูจะเป็นปัญหาของคู่แข่งในการลุ้นแชมป์ฤดูกาลนี้!
เลสเตอร์พลาดได้ 1 นัดเต็มๆ โดยยังนำอยู่ 2 แต้ม แต่คู่แข่งต้องไม่พลาดเลย บางทีพวกเขาอาจจะพลาดได้ 2-3 นัดแต่ยังเป็นแชมป์ได้ นั่นแปลว่า 9 นัดที่เหลือ หากชนะสัก 6 นัดก็อาจจะมากพอแล้ว…
อันดับ 2 ตอนนี้สเปอร์ส แข่ง 30 เกม 58 แต้ม(ผลต่าง+ 29)
ม้ามืดที่เห็นตัวชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ในฤดูกาลนี้ ชัยชนะเหนือแอสตัน วิลลาสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้พวกเขามีโอกาสสูงมากในการลุ้นแชมป์ไปถึงโค้งสุดท้าย นาทีนี้พวกเขาเป็นทีมที่ต้องบอกว่าพอจะแซงเลสเตอร์ได้ง่ายที่สุด
ข้อดีคือหลังสัปดาห์หน้าพวกเขาน่าจะไม่ต้องเล่นยูโรปา ลีกอีกแล้ว!(แพ้ดอร์ทมุนด์เกมแรกมา 3-0)
อย่างไรก็ตามในรายละเอียดพวกเขามีเกมกับแมนฯ ยูไนเต็ด และเชลซีเหมือนเลสเตอร์ แต่เกมที่โอกาสได้ 3 แต้มเต็มยากสุดๆ ชัดเจนคือเกมที่แอนฟิลด์! หรือใครว่าไม่จริง?
ตอนนี้พวกเขาตามเลสเตอร์ 2 แต้มแต่จุดดีคือผลต่างประตูได้เสียพวกเขาดีกว่า ดังนั้นอาจจะนับว่าตามแค่ 2 แต้มครึ่ง แต่พวกเขาแข่งมากกว่า 1 นัด(รอดูคืนนี้) นอกจากนี้เกมสุดท้ายกับนิวคาสเซิ่ลของราฟาอาจจะชี้เป็นชี้ตายตอนนั้นว่าทีมสาลิกาดงจะตกชั้นหรือไม่ หากพวกเขาเข้าสู่ 3 เกมสุดท้ายโดยตามหลังเลสเตอร์ไม่เกิน 3 แต้ม พวกเขาก็จะมีลุ้น แต่หากระหว่างนั้นพลาดเยอะกว่าจิ้งจอก เกมอาจจะจบก่อน แต่พื้นที่แชมเปียนส์ลีกไม่น่าจะพลาดเช่นเดียวกับเลสเตอร์ และอย่างน้อยมีโอกาสสูงที่พวกเขาจะได้รองแชมป์เป็นอย่างต่ำ
จากโปรแกรม แม้เลสเตอร์อาจจะพลาดได้ 2-3 เกม หรือมากกว่านั้น แต่สเปอร์สต้องพลาดน้อยกว่าอย่างน้อย 2 นัด พอเป็นไปได้ แต่ก็ไม่ง่ายเลย จริงๆ โปรแกรมพวกเขาหนักกว่าเลสเตอร์นิดหน่อยด้วยซ้ำ
เกมกับลิเวอร์พูลนั่นแหล่ะคือตัวแปรของพวกเขา…
อันดับ 3 อาร์เซนอล แข่ง 29 เกม 52 แต้ม(ผลต่าง +16)
ครองเต็ง 1 มาพักใหญ่ๆ ของฤดูกาล แม้จะตามหลังเลสเตอร์ แต่กูรูฟุตบอลเชื่อในมาตรฐานของพวกเขาหลายปีทีผ่านมาจนกระทั่ง 2-3 สัปดาห์หลังที่พวกเขาร่วงตกรอบไปทีละรายการจนตอนนี้ส่อแววเหลือแค่พรีเมียร์ลีก เพราะหลังสัปดาห์หน้าทีมต้องการบุกชนะบาร์ซ่า 3-0 หรือ 2 ลูกขึ้นไปถ้าเสียประตูที่ต้องบอกว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้โดยเฉพาะกับฟอร์มของพวกเขาในชั่วโมงนี้!
จริงๆ อาร์เซนอลยังถือว่ามีลุ้นแชมป์อยู่พอสมควร เพราะแข่งเท่าเลสเตอร์ และตามอยู่ 8 แต้ม ส่วนกรณีผลต่างหากคิดเล่นๆ ว่าเลสเตอร์พลาด 3 เกม และพวกเขาชนะกลับมาได้รวดๆ +21 กับ +16 มีโอกาสที่ปืนจะกลับข้างเป็นผลต่างดีกว่า ดังนั้น 8 แต้มไม่ได้ถึง 8 แต้มครึ่ง และหากดู 3 เกมสุดท้ายเลสเตอร์มีโอกาสพลาดแน่ๆ รวมถึงทุกเกมข้างหน้า ปัญหาคือมันยากพอๆ กันที่ใครจะนึกภาพว่าอาร์เซนอลชนะ 8-9 เกมที่เหลือทั้งหมด!
และถ้ามองว่าอาร์เซนอลยังมีทางไล่ทันเลสเตอร์ กลับกันอันดับ 4-8 อย่างลิเวอร์พูลที่ตามหลังอาร์เซนอล 8 แต้ม ก็ต้องบอกว่ามองแบบนั้นลิเวอร์พูลก็มองว่าไล่ทันอาร์เซนอลได้เหมือนกัน! แถมถ้าอาร์เซนอลพลาดมีอย่างน้อย 5 ทีมที่พร้อมแซง หรือเทียบกับการที่อาร์เซนอลไล่เลสเตอร์ทีมเดียว พวกเขาเจอ 5 ทีมไล่หลัง คือถ้าพลาดโอกาสอันดับจะร่วงต่ำกว่านี้มีมากกว่าโอกาสลุ้นแชมป์ด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามดูโปรแกรมที่เหลือถ้าเวนเกอร์ไม่พลาดเองจริงๆ พวกเขาน่าจะการันตีพื้นที่แชมเปียนส์ลีกไม่ยาก 9 เกมที่เหลือเกมที่หนักคือเกมถัดไปที่เยือนเอฟเวอร์ตัน และเกมเยือนแมนฯ ซิตี้ อาจจะนับรวมเวสต์แฮมที่จะประมาทไม่ได้ หรือแม้แต่อีก 2 เกมข้างหน้าที่จะต้องเจอวัตฟอร์ดที่พวกเขาเพิ่งถูกเขี่ยตกรอบเอฟเอ คัพคาบ้าน
จริงๆ โปรแกรมอาร์เซนอลจัดว่าเบากว่าทีมอื่นๆ ในมุมการลุ้นแชมป์ แต่ดูเหมือนว่ามาตรฐานของพวกเขาปีนีเชื่อถือได้ยาก แต่ถ้าพวกเขารอดไปจนถึง 3 เกมสุดท้ายไม่ห่างเลสเตอร์เกิน 3 แต้มก็จะมีโอกาสทันที เพียงแต่ช่องว่างมันจะหดลงมากพอใน 9 เกมที่เหลือหรือไม่ นอกจากนี้พวกเขายังต้องแช่งให้สเปอร์สพลาดอีกทีมด้วย เกมนัดรองสุดท้ายกับแมนฯ ซิตี้อาจจะเป็นวันที่สิ้นสุดการลุ้นแชมป์ของพวกเขาอย่างเป็นทางการ หรืออาจจะเป็นวันที่ทำให้พวกเขากลับมามีลุ้นในเกมสุดท้าย
อยู่ที่นอกบ้าน 5 เกมข้างหน้าพวกเขาจะชนะได้มากแค่ไหน แถมจะเสมอในบ้านไม่ได้เลย กลับกันสำหรับทีมอื่นๆ ที่ตามมาต้องแช่งให้เกิดเหตุการณ์ตรงกันข้าม เชื่อว่าโอกาสเทไปทางปืนชนะรวด หรือแพ้รวดคงยาก น่าจะสลับไปมา พวกเขาน่าจะชนะได้ราว 5-6 เกมใน 9 เกมสุดท้ายที่อาจจะมีสะดุดเสมอกับแพ้บ้าง และทำให้พวกเขาจบฤดูกาลด้วยอันดับในตอนนี้อยู่ดี
อันดับ 4 แมนฯ ซิตี้ แข่ง 29 เกม 51 แต้ม(ผลต่าง +21)
*เกมตกค้างเยือนนิวคาสเซิลยังไม่กำหนดโปรแกรม
เกมเสมอนอริช ซิตี้เมื่อวันเสาร์แทบจะทำให้กาชื่อของซิตี้จากการลุ้นแชมป์ไปได้เลย 9 แต้มจากเลสเตอร์, 7 แต้มจากสเปอร์ส และ 3 แต้มจากอาร์เซนอล ต่อให้ชนะรวดพวกเขายังต้องให้ทีมเหล่านี้พลาดพร้อมกัน แถมโปรแกรมที่เหลือโหดหินมาก
แถมถ้าคุณเป็นมานูเอล เปเยกรินีที่เตรียมออกในช่วงซัมเมอร์ ระหว่างความสำเร็จในลีก กับแชมเปียนส์ลีก เชื่อว่าหลายคนคิดถึงอย่างหลังแน่ๆ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาน่าจะเข้าไปถึง 8 ทีมเป็นอย่างน้อยหลังตุนสกอร์บุกชนะเคียฟ 3-1
แต่นั่นเท่ากับว่าพวกเขาก็มีความเสี่ยงจะเสียอันดับ 4 มากกว่าจะคิดถึงการแซงอาร์เซนอลขึ้นไปอันดับ 3 ด้วยซ้ำ!
เกมกับนิวคาสเซิลที่ค้างมาจากลีก คัพ นัดชิงชนะเลิศต้องรอหาวันกลางสัปดาห์ที่ไม่มีแชมเปียนส์ลีกเสียบ ซึ่งอย่างที่พูดไปกับ 3 ทีมก่อนหน้านี้ว่าโจทย์เดียวกันคือเกมเยือนนิวคาสเซิลที่หนีตายไม่น่าจะง่าย
หลังแชมเปียนส์ลีกที่ยังไงก็น่าจะใช้ชุดใหญ่เพื่อการันตีการเข้ารอบ พวกเขามีแมนเชสเตอร์ ดาร์บี ที่หากแพ้ทุกอย่างจะเท่ากัน แถมพวกเขาจะเสียเปรียบที่ต้องเล่นหลายถ้วยกว่ากลับกันถ้าออกชนะจะใกล้การันตีอันดับ 4 ถ้าเสมอทีมที่ตามๆ มาน่าจะมีความสุขกว่าแน่ๆ โดยเฉพาะลิเวอร์พูล!
เกมเยือนนิวคาสเซิล, เชลซี, เซาท์แฮมป์ตัน และแม้แต่สวอนซีที่เริ่มไม่ปลอดภัยเต็มที่ไม่ง่ายเลย ขณะที่เกมกับอาร์เซนอลในบ้านก็ไม่การันตีอะไร ในบรรดาทีมกลุ่มบนของตารางต้องบอกว่าพวกเขาเจอโปรแกรมที่โหดสุด และแปลว่าโอกาสพลาดมากที่สุด(ความเสี่ยงยิ่งจะเพิ่มขึ้นถ้าใส่เกมชปล. เข้าไปอีก 2, 4 หรือมากกว่านั้น!)
8 เกมที่เหลือในลีกมีแค่ 2 เกมกับเวสต์บรอม และสโต๊กที่ดูว่าเบาสุด แต่บางครั้งการเล่นกับทีมที่ลุ้นแชมป์หรือหนีตายว่ายาก การเล่นกับทีมที่ดูจะไม่ต้องลุ้นอะไรในช่วงกลางๆ แบบนี้อาจจะเดาผลยากพอๆ กัน
แม้ซิตี้จะได้เปรียบตอนนี้ในการคว้าอันดับ 4 แต่อย่าลืมว่าการกรำศึกหลายรายการทำให้นักเตะพวกเขาไม่ค่อยสมบูรณ์ในฤดูกาลนี้ และถ้าพิจารณาจากด้านบนจะไม่น่าแปลกใจเลยหากเป๊บ กวาร์ดิโอล่าไม่ได้คุมพวกเขาเล่นในแชมเปียนส์ลีก!
โดยเฉพาะตัวแปรในเกมสุดสัปดาห์หน้า
อันดับ 5 เวสต์แฮม แข่ง 29 เกม 49 แต้ม(ผลต่าง +12)
*เกมรีเพลย์เอฟเอ คัพนัดเหย้ากับแมนฯ ยูไนเต็ดยังไม่กำหนดโปรแกรม
หนึ่งในทีมแพ้ยากในฤดูกาลนี้ ตั้งแต่เปิดมาพวกเขาแพ้แค่ 6 เกม แต่หนักไปทางเสมอถึง 10 เกม เกือบเท่ากับที่ชนะ13 เกม เวสต์แฮมตามซิตี้ตอนนี้ 2 แต้มเท่านั้น พวกเขาคือม้ามืดสอดแทรกไปเล่นแชมเปียนส์ลีกอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตามทีมของสลาเวน บิลิชน่าจะเล็งแชมป์เอฟเอ คัพไว้เหมือนกันยิ่งกรณีที่หากเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ดในเกมรีเพลย์ขึ้นมาจริงๆ คู่แข่งที่น่ากลัวรายการนี้จะแทบไม่เหลือแล้ว(อาจจะมีแค่เอฟเวอร์ตันที่น่ากลัวสุด)
ตรงข้ามกับในลีก พวกเขามีเกมหนักๆ ในการเจอแมนฯ ยูไนเต็ดอีกรอบ, เยือนเชลซี รับมืออาร์เซนอล หรือแม้แต่เยือนเลสเตอร์ หากพวกเขาเข้ารอบต่อไปในเอฟเอ คัพ เป็นไปได้ว่าจะเสียสมาธิในลีกสูง เกมเหย้าหลายๆ เกมจะไม่ง่าย บางทีชะตาของเขาจะอยู่ที่ว่าไปได้ไกลแค่ไหนในเอฟเอ คัพ
หากพวกเขาตกรอบเอฟเอ คัพ ทีมอื่นๆ ในลีกอาจจะไม่สนุกด้วยในการแย่งพื้นที่แชมเปียนส์ลีกกับเวสต์แฮม กระนั้นการที่ทีมเสมอเยอะแบบนี้ ในช่วงที่ต้องการผลชนะเพื่อ 3 แต้ม การติด 4 อันดับแรกยังยาก แต่อันดับ 5-6 เพื่อไปเล่นยูโรปา ลีกน่าจะมีโอกาสรักษาไว้ได้ ไม่ว่าจะทางไปลุ้นแชมป์เอฟเอ คัพ หรือทางหลัก
อย่างไรก็ตามมันเป็นไปได้เช่นกันว่าพวกเขาอาจจะพลาดทั้งหมด เพราะเอฟเอ คัพ ยังเหลือหลายรอบ ในลีกทีมทีตามมาก็น่ากลัว 4 จาก 9 เกมจัดว่าหนักมาก และระหว่างนั้นพวกเขาจะมีเกมเอฟเอ คัพ รีเพลย์ สอดแทรกอยู่กลางสัปดาห์ 1 เกมเป็นอย่างน้อย และหากอยากได้แชมป์นั่นแหล่ะเกมที่พวกเขาต้องชนะ!
อันดับ 6 แมนฯ ยูไนเต็ด แข่ง 29 เกม 47 แต้ม(ผลต่าง +10)
*เกมรีเพลย์เอฟเอ คัพนัดเยือนกับเวสต์แฮมยังไม่กำหนดโปรแกรม
ในฐานะทีมคู่แข่ง แมนฯ ยูไนเต็ดหาเรื่องใส่ตัวมากกับการเสมอกับเวสต์แฮมในเอฟเอ คัพ แต่ก็เป็นข่าวดีกับทีมอื่นๆ มาก
และหากอยากให้แมนฯ ยูไนเต็ดเหนื่อยก็อาจจะให้หวังให้พวกเขาเข้ารอบเอฟเอ คัพ แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่แฟนบอลลิเวอร์พูลหวัง! เช่นกันกับในยูโรปา ลีก 2-0 เกมแรกยังไม่นับว่าจบ แม้นักเตะที่บาดเจ็บจะมีกลับมาบ้าง แต่สภาพทีมแมนฯ ยูไนเต็ดไม่ได้ดีเท่าไหร่ ไม่นับว่าฟอร์มการเล่นเดาทางยาก
จริงๆ พวกเขาเริ่มกลับมาเล่นดีในลีก ช่วง 1-2 เดือนหลัง ที่น่ายำเกรงเสมอคือฟอร์มของดาบิด เดเคอาที่ช่วยให้พวกเขาชนะ 1-0 หรือหวุดหวิดๆ ในหลายๆ เกมได้ 3 แต้มแทนที่จะเป็น 1 แต้มในหลายๆ นัด
กับ 4 แต้มที่ตามหลังซิตี้ บางทีมันขึ้นอยู่กับเกมสุดสัปดาห์หน้า หากพวกเขาเกิดเอาชนะได้ บางทีการตกรอบยูโรปา ลีกอาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม 9 เกมที่เหลือนอกจากซิตี้ก็ไม่ถึงกับง่ายเมื่อมีเกมกับเอฟเวอร์ตันกับเวสต์แฮม และ 2 ทีมที่ลุ้นแชมป์อย่างสเปอร์ส กับเลสเตอร์ บางทีฤดูกาลของพวกเขาในพรีเมียร์ลีกคงตัดสินในเกมวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ว่าจะได้ลุ้นต่อ หรือจบ หรือถ้าออกเสมอ 4 แต้มที่ตามหลังซิตี้อยู่ก็ไม่ใช่จะแซงง่ายๆ แต่อย่างใด เพราะประตูได้เสียเป็นรอง แถมไม่มีท่าทีว่าบอลทรงนี้จะชนะคู่แข่งขาดๆ ได้ในช่วงที่เหลือ
อันดับ 7 เซาท์แฮมป์ตันแข่ง 30 เกม มี 44 แต้ม(ผลต่าง +8)
เป็นอีกทีมที่ต้องใส่มาด้วย เพราะยังมีลุ้นอันดับ 5-6 แต่ต้องบอกว่ายากกว่าทีมอื่นๆ ตรงที่แข่งไป 30 เกมแล้ว ไม่เหลือเกมในมือเลย แถมเป็นทีมที่ปีนี้เวลาแพ้ แพ้ขาด ผลต่างเลยไม่สู้ดี(ลิเวอร์พูลก็ไม่ต่างกัน!)
คล้ายๆ คู่แมนเชสเตอร์ ดาร์บี อาร์ทิตย์นี้ทีมแพ้จะไม่ได้ไปต่อ(ในลีก) ส่วนทีมชนะมีโอกาสต่อในการเบียดขึ้นไปติดอันดับ 5-6 อย่างไรก็ตามสำหรับเซาท์คงยากจะมองถึงอันดับ 4 ตรงที่แข่งมากกว่าทีมอื่นๆ ไปแล้ว
เกมที่เหลือมีทั้งการเยือนเลสเตอร์ และสเปอร์ส รวมถึงเอฟเวอร์ตัน เล่นในบ้านมีเกมหินๆ กับแมนฯ ซิตี้ และเจอทีมหนีตายหลายทีม อันดับของพวกเขาถ้าอยู่ตรงนี้จนจบซีซั่นอาจจะต้องบอกว่าเก่งแล้ว
อันดับ 8 ลิเวอร์พูล แข่ง 28 เกม มี 44 แต้ม(ผลต่าง +6)
เกมตกค้างกับเอฟเวอร์ตัน(เหย้า) และเชลซี(เหย้า)ยังไม่กำหนดโปรแกรม
บอกไว้ก่อนจะเขียนถึงหงส์แดงเท่านั้นแม้ทางทฤษฎีสโต๊ก, เชลซี, เวสต์บรอมหรือทีมต่ำกว่านั้นจะมีโอกาสแซงขึ้นมา แต่ในทางปฏิบัติอย่างสโต๊กเล่นไป 30 เกมแล้ว, เชลซีก็ห่างอันดับ 4 ถึง 11 แต้ม และอันดับ 6 อยู่ 7 แต้ม และต้องลุ้นให้ทีมข้างบนพลาดมากกว่า ดังนั้นเขียนถึงแค่นี้พอ
ลิเวอร์พูลมีโอกาสมากกว่าเซาท์แฮมป์ตันในการไต่อันดับด้วยซ้ำ อันนี้ไม่ต้องลำเอียง เพราะเกมในมือเหลืออีก 2 นัด ในโปรแกรมยังไม่มีช่วงลงว่าเกมกับเชลซี และเอฟเวอร์ตัน จะไปสอดแทรกตรงไหน เพราะเอฟเวอร์ตันก็ยังอยู่ในเอฟเอ คัพ ส่วนเกมกับเชลซีต้องรอดูว่าลิเวอร์พูลไปไกลแค่ไหนในยูโรปา
นั่นจะเป็นจุดเสียเปรียบหากใครหวังว่าลิเวอร์พูลจะพรวดๆ ขึ้นไปเบียดที่ 4 อย่างน้อยๆ อาจจะต้องชนะเซาท์แฮมป์ตันให้ได้ในเกมสุดสัปดาห์นี้ และยังต้องลุ้นว่าแมนฯ ซิตี้จะสะดุด หรือถ้าหวังแค่ที่ 5 จบอันดับดีกว่าผีแดงก็อาจจะลุ้นตรงกันข้าม!
ไม่นับเกมสำคัญวันพฤหัสบดี สุดสัปดาห์นี้มี 2 คู่วันอาทิตย์ที่ผลการแข่งขันสำคัญมากจริงๆ ทั้งคู่เซาท์แฮมป์ตัน – ลิเวอร์พูล, แมนฯ ซิตี้ – แมนฯ ยูไนเต็ด
ลิเวอร์พูลมีเกมหนักสุดตามโปรแกรมไม่นับ 2 เกมตกค้าง คือเจอสเปอร์ส แต่ยังเล่นในบ้าน หากไม่มีฟุตบอลยุโรป มีโอกาสเหมือนกันที่ทีมจะ run เก็บแต้มต่อเนื่อง ต่อให้ใส่ 2 เกมตกค้างมาเพิ่มก็ต่างเป็นเกมที่เล่นในบ้านทั้งคู่
สภาพทีมของลิเวอร์พูลดีขึ้นมากช่วงนี้ เกมกับทีมหนีตกชั้นอย่างนิวคาสเซิลก็ยังเล่นในบ้าน หนักๆ อาจจะเป็นเยือนสวอนซีมากกว่า แต่เทียบกับ 7 ทีมข้างบนแบบแฟร์ๆ เชื่อว่าหลายคนมองออกว่าหงส์แดงเบาที่สุด!
7 แต้มที่ห่างจากแมนฯ ซิตี้ แต่แข่งน้อยกว่า 1 นัด มันไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้(ยิ่งถ้าดูโปรแกรมของซิตี้เอง) การตกรอบเอฟเอ คัพไปแล้วน่าจะเป็นผลดีที่ทีมได้พักในสัปดาห์นี้ก่อนจะต้องลงเล่นหนักต่อเนื่อง (ปลายเดือนมีทีมชาติมาคั่นอีกนิด) เชื่อว่าอย่างน้อยๆ เมษายนลิเวอร์พูลน่าจะเล่น 2 นัดต่อสัปดาห์อีกครั้ง
ตรงนี้จะส่งผลกระทบกับทีมแค่ไหนน่าติดตามมาก ในลีกหากเกิดเก็บ 6 แต้มใน 2 เกมข้างหน้าได้ ลิเวอร์พูลมีโอกาสสูงในการกลับมาไล่ล่าพื้นที่แชมเปียนส์ลีกเต็มตัว กลับกันหากแต้มหายแม้แต่นิดเดียวทุกอย่างอาจจะต้องไปฝากที่ยูโรปา ลีก
เกมในมือทำให้ได้เปรียบ แต่ต้องเก็บให้ได้นั่นคือปัญหา และโอกาส
อย่างไรก็ตามโอกาสติดอันดับ 5-6 เป็นอย่างน้อยน่าจะเปิดกว้างมาก แม้เชื่อว่าเดอะ ค็อป โดยเฉพาะถ้าใครอ่านบทความนี้จบคงจะไม่หวังแค่นี้ก็ตาม!
เจ้าของที่ดาวศุกร์
เป็นบทวิเคราะห์ที่ดีเยี่ยมสุดๆไปเลย
เขียนดีคับ ผมว่าลิเวอร์มีโอกาศชนะทุกนัดนะคับถ้าเล่นตามฟอร์ม คิคิ
ชนะทุกนัดพอคับ✌