ย้อนไปในวันที่ 27 ธันวาคม 2017 หลังจากลิเวอร์พูลประกาศคว้าตัวเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค จากเซาท์แฮมป์ตัน โดยมีรายงานว่าค่าตัวของเขาอยู่ที่ 75 ล้านปอนด์ แม้จะไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่เชื่อว่าการย้ายทีมของเขาเป็นสถิติของโลกสำหรับกองหลังในวงการฟุตบอล
-
ทันทีที่การย้ายทีมครั้งนั้นเกิดขึ้น เสียงค่อนแคะดังขึ้นมาทันทีจากกุนซือทีมคู่ปรับตลอดกาลดังขึ้นมาทันทีสรุปใจความง่ายๆ ว่า ‘ไหนว่าจะไม่ทุ่ม?’ หลังจากก่อนหน้านั้นแมนฯ ยูไนเต็ด และแมนฯ ซิตี้ใช้เงินมหาศาลในการซื้อตัวนักเตะหลายๆ คน ฟาน ไดจ์ค เป็นคนแรกๆ ที่ทะลุเพดานค่าตัวที่กระทั่งแฟนบอลไม่คิดว่าจะกล้าใช้ขนาดนั้น หรือบางมุมมันเป็นการพิสูจน์ความทะเยอทะยานของเจ้าของสโมสรที่กล้าให้เงิน และไว้วางใจเจอร์เก้น คล็อปป์
-
คล็อปป์ให้สัมภาษณ์ตอนนั้นเพื่อลดความกดดันให้กับฟาน ไดจ์คว่า เขา(ฟานไดจ์ค)ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้’ มันไม่ใช่ความผิดของฟาน ไดจ์ค ที่มีค่าตัวมหาศาลกับสถานการณ์ในตลาดนักเตะเวลานั้น ว่ากันว่าเซาท์แฮมป์ตันซื้อกองหลังดัตช์มาเพียง 15 ล้านปอนด์ แต่พวกเขาต้องแบ่ง 10% จากค่าตัวในการขายให้กับลิเวอร์พูลให้กับเซลติก ซึ่งมีส่วนผลักค่าตัวของฟานไดจ์ค ให้สูงขึ้นไป
-
ไม่นับการแข่งขันจากสองทีมจากแมนเชสเตอร์ที่ให้ความสนใจในตัวนักเตะรายนี้เช่นกัน แต่ฟาน ไดจ์คแสดงเจตจำนงค่อนข้างชัดเจนในเวลานั้นว่าเขาต้องการย้ายมาเล่นให้กับลิเวอร์พูล ขณะที่ใครชอบกิน ‘องุ่นเปรี้ยว’ อาจจะมองว่าบ้าไปแล้วสำหรับค่าตัวกองหลัง ยังไงก็ไม่คุ้ม
-
ถึงเวลานี้หลายๆ คนที่ตั้งคำถามตอนนั้น โดยเฉพาะแฟนบอลทีมคู่แข่งหลายๆ ทีมคงเริ่ม หรือเข้าใจแล้วว่า ‘ทำไมฟาน ไดจ์คถึงแพง!’ กลับกันถ้ามีคนเสนอเงินจำนวนเท่ากัน หรือมากกว่านี้ไปอีกเท่าตัวสาวกหงส์แดงคงประสานเสียงตอบพร้อมกับว่า ‘ไม่มีวัน!’
-
นั่นก็มากพอสะท้อนว่าฟาน ไดจ์ค มีความคุ้มค่าแค่ไหน สำหรับกัปตันทีมลำดับที่ 3 คนปัจจุบันของลิเวอร์พูลจากการโหวตของเพื่อนร่วมทีมในห้องแต่งตัว บางทีมันอาจจะเป็นหนึ่งในการซื้อที่คุ้มค่าที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลก็ว่าได้!
-
จริงๆ ว่ากันว่าค่าตัวของฟาน ไดจ์ค อาจจะคุ้มค่ามาตั้งแต่ครึ่งฤดูกาลแรก ที่ช่วยให้ทีมการันตีพื้นที่แชมปียนส์ลีก และผ่านเข้าชิงยูฟา แชมเปียนส์ลีก แต่จนถึงตอนนี้ดูเหมือนว่าเลิกพูดถึงค่าตัวไปได้เลย
-
โชคดีมากของลิเวอร์พูลที่ระหว่างช่วงเวลาที่ย้ายมาแอนฟิลด์ ‘วีวีดี’ แทบไม่ประสบปัญหาการบาดเจ็บใหญ่ๆ สักครั้ง ต่างจากช่วงเวลาที่อยู่กับเซาท์แฮมป์ตัน แม้กระทั่งก่อนย้ายมาแอนฟิลด์เขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด และมันพิสูจน์ให้เห็นในฤดูกาลถัดมา(ฤดูกาลนี้)ว่าเมื่อเขาสมบูรณ์เต็มที่ จะมีส่วนสำคัญต่อเกมรับของลิเวอร์พูลขนาดไหน
-
18 เดือนกับถ้วยรางวัลใบแรกที่มาดริด และเชื่อว่าจะไม่ใช่ถ้วยสุดท้ายของเขากับลิเวอร์พูล โดยเฉพาะกับ 97 แต้มในลีก และเกมรับที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก ถึงแม้ทีมจะยังไม่สามารถฝ่ากำแพงกลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้ แต่นี่คือฤดูกาลที่เขาได้รับเครดิตไปเต็มๆ โดยเฉพาะความสม่ำเสมอที่ไร้ขีดจำกัด
-
การติดทีมยอดเยี่ยมแชมเปียนส์ลีก เป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน ติดทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก, พีเอฟเอ, นักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนพ.ย. ของพีเอฟเอ, ธ.ค.ของพรีเมียร์ลีก เป็นเพียงบางส่วนรวมกับรางวัลยอดเยี่ยมของสโมสร 2 รางวัลจากนักเตะ และแฟนบอล และรางวัลใหญ่ที่สุดอย่างนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ และนักเตะยอดเยี่ยมแห่งพรีเมียร์ลีก
-
“ทุกๆ อย่างเป็นไปได้ดีในการฝึกซ้อม เราทำงานหนักเพื่อกันและกัน และนั่นคือสิ่งที่เราต้องทำให้ด้วยเช่นกัน ความสามัคคีในกลุ่ม ทีมชุดนี้ กลุ่มแฟนบอลเหล่านี้ เป็นเรื่องอัศจรรย์ และผมภาคภูมิใจจริงๆ ที่ได้ลงเล่นดับเด็กๆ เหล่านี้ และเพื่อแฟนบอลเหล่านี้ ได้สนุกสนานไปกับมัน”ฟาน ไดจ์ค กล่าวกับ Bein sport ในช่วงจบฤดูกาล ซึ่งเหมือนๆ กับทุกการให้สัมภาษณ์ เขาจะให้เครดิตกับกลุ่มมากกว่าตัวเอง
-
ถึงจะถ่อมตัว แต่หลังคว้าแชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีก ฟาน ไดจ์คก็แสดงให้เห็นถึงความต้องการความสำเร็จที่มีอยู่เปี่ยมล้มกล่าวว่า “เรามีความกระหาย และทะเยอทะยาน เป้าหมายต่อไปคือการเข้าชิงแชมเปียนส์ลีก 3 ปีติดต่อกัน!”
-
คล็อปป์เคยให้สัมภาษณ์ว่าฟานไดจ์ค ‘เวิลด์คลาส’ อยู่ก่อนแล้ว เขาไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่เชื่อว่าหลายคนรู้จักฟาน ไดจ์ค และเห็นความสามารถของเขามากขึ้นตอนอยู่กับลิเวอร์พูล และในฐานะเซนเตอร์แบ็กที่ดีที่สุดในลีก หรืออาจจะในโลกเวลานี้
-
อันดับในตารางไม่โกหกใคร เช่นกันกับตัวเลขสถิติ ออปต้าระบุว่าเจ้าของเสื้อเบอร์ 4 ของลิเวอร์พูลเป็นเซนเตอร์แบ็กต้นแบบของสมัยใหม่ เขาเร็วที่สุดในลีกซึ่งเป็นสถิติที่ไม่น่าเชื่อสำรหับกองหลัง แข็งแกร่ง และยอดเยี่ยมในเรื่องลูกกลางอากาศ แถมยังใช้เท้าได้อย่างยอดเยี่ยม
-
ที่ต้องกล่าวซ้ำ และเชื่อว่าจะมีการพูดถึงไปอีกนาน คือไม่มีคู่แข่งรายใดเอาชนะเขาหรือเลี้ยงผ่านเข้าได้ในฤดูกาลที่ผ่านมา หรือรวมถึงตอนนี้ 64 เกมติดต่อกันที่ลงเล่นให้กับหงส์แดง!
-
นักเตะคนสุดท้ายที่ถูกบันทึกว่าเอาชนะฟาน ไดจ์คในการดวลตัวต่อตัวคือมิเกล เมริโน่ อดีตกองกลางนิวคาสเซิลในวันที่ 3 มีนาคม 2018 หรือผ่านมาแล้วหนึ่งปี 3 เดือน…
-
ที่อดใจรอลงบทความจนถึงวันนี้ เพราะรอดูผลเนชันส์ ลีก ซึ่งน่าเสียดายที่ฟาน ไดจ์คอดชูถ้วยกับทีมชาติของเขา หลังเอาชนะอังกฤษในรอบรอง แต่โปรตุเกสที่ลงเล่นในบ้านของตัวเองเอาชนะพวกเขาไป 1-0 ไม่อย่างนั้นฟาน ไดจ์คจะมีโอกาสชูถ้วยอีกรายการต่อเนื่องทันที
-
โดยปกติแล้วนักเตะในตำแหน่งกองหลังมักจะถูกมองข้ามความสำคัญในการประกาศรางวัลใหญ่ๆ อย่างบัลลงดอร์ โดยเฉพาะยุคที่ถูกควบรวมกับรางวัลของฟีฟา ดูเหมือนความขลังจะหดหาย ไม่เชื่อลองให้นักเตะทีมชาติให้ทัศนะผลฟุตบอลดู หรือแม้แต่อดีตตำนานอย่างเปเล่!
-
เพราะต้องยอมรับว่าการดูบอลของโค้ช ผู้อำนวยการฟุตบอล หรือกัปตันทีมชาติที่มีส่วนลงคะแนน อาจจะด้อยกว่าผู้สื่อข่าว และเป็นผลทำให้ตั้งแต่ปี 2016 รางวัลดังกล่าวกลับมาใช้ระบบเดิม หลังการตัดสินระหว่างปี 2010-15 มีแค่ลิโอเนล เมสซี และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ที่ชนะการโหวต ทั้งที่ระหว่างนั้นสเปนคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก และมีความโดดเด่นในแต่ละปีแตกต่างกัน
-
ว่ากันว่าหากใช้ระบบเดิม เมสซี่ กับโรนัลโด้ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งคู่เก่งจริง เพียงแต่ว่าทั้งคู่จะผูกขาดรางวัลดังกล่าว เหมือนกับสมัยก่อนกับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่า โค้ชบางประเทศเลือกนักเตะชาติตัวเองเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก!
-
แม้หลังจากปีดังกล่าว โรนัลโด้จะได้รางวัลนี้อีก 2 ครั้ง แต่ก็คู่ควรกับความสำเร็จของทีมชาติโปรตุเกส และกับเรอัล มาดริด ก่อนที่ลูก้า โมดริช จะคว้ารางวัลในปีล่าสุด ทำให้เริ่มเห็นโอกาสความเป็นไปได้ของนักเตะคนอื่นๆ เพราะมันตัดสินจากผลงานในแต่ละปี ไม่ใช่หลับตาแล้วกาเพราะว่ารู้จักอยู่แค่นี้!
-
ตั้งแต่ประกาศรางวัลในปี 1956 มีกองหลังเพียง 3 คนที่คว้ารางวัลนี้คือ ฟร้านซ์ เบ็คเคนเบาเออร์, แม็ตเทียส ซามเมอร์ และฟาบิโอ คันนาวาโร่ เทียกับจำนวนปี นับว่าน้อยมากที่จะมีโอกาสของกองหลังที่จะคว้ารางวัลนี้ แต่ปีนี้ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไป
-
การคว้าแชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีก เป็นรายการฟุตบอลสโมสรที่ใหญ่ที่สุด ขณะที่การได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีก ด้วยแต้มสูงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร และอันดับ 3 ตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก ไม่ใช่สิ่งที่ถูกมองข้ามได้ โดยเฉพาะในแง่ความสม่ำเสมอในการเล่น(โดยเฉพาะสำหรับปีที่ไม่มีบอลโลก หรือยูโร) ขณะที่ผลงานในทีมชาติที่เขาพาฮอลแลนด์ที่ไม่กระทั่งเข้ารอบฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ครั้งล่าสุด จนเข้าชิงชนะเลิศ เนชันส์ ลีก ทัวร์นาเมนต์ที่เพิ่งเกิดใหม่ ก็เป็นผลงานที่ไม่เลว
-
ใครจะว่าอวยเกินไป แต่อัตราต่อรองของร้านรับพนันที่ถูกกฎหมายของอังกฤษ ยกให้ฟานไดจ์ค เป็นเต็ง 1 ตีคู่กับลิโอเนล เมสซี ที่เป็นดาวซัลโวลา ลีกา และพาทีมคว้าแชมป์ลีก ขณะที่เมสซียังมีโอกาสดีที่จะทำผลงานให้ดูเด่นกว่าในสายตาชาวโลกกับโกปา อเมริกากลางปีนี้ ซึ่งแน่นอนว่าฟ้า-ขาวเป็นหนึ่งในทีมเต็ง แต่ก็ไม่ง่ายที่จะไปถึงความสำเร็จ นอกจากนั้นโกปา อเมริกาก็มักจะไม่ใช่ตัวชี้วัดของรางวับนี้ในอดีตสักเท่าไหร่
-
แน่นอนว่ายังพอมีเวลากว่าจะถึงช่วงลงคะแนนปลายปี ผลงานครึ่งปีหลังก็จะมีส่วนไม่น้อย แต่ฟาน ไดจ์ค ยังมีโอกาสในเกมสำคัญๆ ที่น่าจะได้รับการจับตามอง หรือกระทั่งโอกาสชูถ้วยเพิ่มอย่างคอมมิวนิตี้ ชิลด์ และยูฟา ซูเปอร์ คัพ ที่อาจจะมีผลอารมณ์ของคนที่ลงคะแนนในเวลานั้นอีกเช่นกัน
-
ฟาน ไดจ์คถูกโห่ระหว่างเล่นในทีมชาติฮอลแลนด์ในเกมกับอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นที่มาเพราะเขาเป็นนักเตะลิเวอร์พูล หรือเขาเป็นนักเตะที่แฟนอังกฤษมองว่าดีที่สุดในทีมชาติฮอลแลนด์ที่เป็นคู่แข่ง จนเป็นประเด็นพูดถึงหลากหลายแง่มุม แต่อย่างไรก็ตามมันไม่มีผลต่อแฟนบอลลิเวอร์พูลที่ปันใจเชียร์ฮอลแลนด์ไม่น้อย แม้แต่โจ โกเมซ ที่อยู่ในทีมชาติอังกฤษยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้ และที่สำคัญเขามองว่า ‘มันไม่มีผลอะไรเลย!’
-
สภาพจิตใจที่แข็งแกร่งเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงออกมาให้ทุกคนได้สัมผัสถึง ฟาน ไดจ์ค มีตัวอย่างจากซามี่ ฮูเปียที่เคยเล่นในฮอลแลนด์ และมาเล่นให้กับลิเวอร์พูล เขามีความนิ่ง และเยือกเย็น แต่รวดเร็วกว่า และแข็งแกร่งเหมือนกับเจมี คาร์ราเกอร์ หากนับเซนเตอร์ฮาล์ฟในรอบ 30 ปีหลังของลิเวอร์พูล ฟาน ไดจ์ค กำลังอยู่ในเส้นทางที่จะกลายเป็นเซนเตอร์แบ็กที่ดีที่สุด จนอาจจะเทียบชั้นอลัน แฮนเซ่นได้ในอนาคต เสียงโห่เหล่านี้ยิ่งจะเป็นตัวผลักดันเขาให้ก้าวไปอีกขั้น เหมือนกับนักเตะผู้ยิ่งใหญ่หลายคนผ่านมันมาแล้วเช่นกัน
-
ปีนี้ฟาน ไดจ์คจัดว่าเสียท่าให้กับเมสซีในเกมที่คัมป์ นู แต่เอาคืนได้อย่างหมดจดในแอนฟิลด์ ถึงแม้ว่าการแข่งขันจะไม่ใช่การดวลกันของทั้งคู่โดยตรง แต่ไม่น่าแปลกใจว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งที่อาจจะถูกพิจารณาในการชี้ขาดรางวัลนี้ ขณะที่ฟานไดจ์คดูเหมือนจะได้รับการยอมรับจากผู้สื่อข่าวไม่น้อย
-
“ผมคิดว่าเมสซี่เป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก เขาน่าจะได้บัลลงดอร์ ซึ่งผมไม่คิดอะไรในเรื่องนี้ แต่ถ้าผมได้ผมจะรับมันไว้!”ฟาน ไดจ์คกล่าวก่อนเกมรอบรอง แชมเปียนส์ลีก
“เมสซี่น่าจะชนะมัน เขาเป็นนักเตะทีดีที่สุดในโลก ไม่ว่าเขาจะได้เข้าชิงหรือไม่”
-
เมสซี่ไม่ได้ชิง ฟาน ไดจ์คได้แชมป์ มันจะมากพอหรือไม่แล้วแต่มุมมองแต่ละคน กองหลังมักจะเสียเปรียบตัวรุกในแง่ความโดดเด่นในการทำประตู แต่ผลงานตลอดทั้งปีของฟาน ไดจ์ค ยากมากที่จะมองข้ามได้เลยจริงๆ และถ้าเขาติด 1 ใน 3 หรือกระทั่งคว้ารางวัลนี้ไปครอง มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด
-
ถ้าจะมีกองหลังสักคน คนต่อไปที่คู่ควรจะได้รับรางวัลนี้คนต่อไป มันก็ต้องเป็นฟาน ไดจ์ค มันก็เท่านั้นเอง…
จินตะปัญญา
#liverpool #Vandijk #klopp #จินตะปัญญา